เทศน์เช้า

โลกมืด

๘ ธ.ค. ๒๕๔๔

 

โลกมืด
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

แต่เดิมแต่เก่ามาเราไม่มีศาสนา โลกมืดบอด ก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ธรรมไปศึกษากับลัทธิต่างๆ เห็นไหม โลกมืดบอดเพราะสิ่งนี้มันไม่มี เรื่องของศาสนามันไม่มีเราก็เลยต้องตามไป บูชาพระอาทิตย์ บูชาต้นไม้ บูชาภูเขา บูชาเพื่อหวังที่พึ่ง หวังที่พึ่งที่อยู่อาศัย เห็นไหม เรามืดบอดเพราะสิ่งนั้นไม่มี

แต่ปัจจุบันนี้มีศาสนา เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม แล้วเอาธรรมนี้มาสั่งสอนสัตว์โลก จะให้สัตว์โลกมีที่พึ่งที่อาศัยไง ที่พึ่งที่อาศัยเพราะใจมันต้องอาศัยธรรมะ ใจอาศัยสิ่งของในโลกนี้ไม่ได้ เครื่องอยู่อาศัยในโลกนี้เป็นที่อาศัยของร่างกายเท่านั้น ใจต้องอาศัยธรรมะ เพราะโลกนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ถึงมีธรรมไว้แล้ว แต่กิเลสมันก็ปิดใจไว้

เราอยู่ในที่มืด เห็นไหม ถ้าเราอยู่ในที่มืดเราจะไม่เห็นสิ่งใดเลย ถ้าเราอยู่ในที่สว่างเราจะเห็นสิ่งต่างๆ ด้วยสายตา แต่นี้มันมืดบอด แต่เดิมมืดบอดมา มืดด้วยเพราะไม่มีศาสนา แต่ปัจจุบันนี้ศาสนามีอยู่ แต่มันมืดด้วยกิเลสไง มันมืดด้วยความปิดบังด้วยใจของตัวเอง ถ้าใจของตัวเองปิดบังแล้วมันเหมือนกับอยู่ในที่มืด เราอยู่ในที่มืดแล้วเราไม่สามารถจะเห็นสิ่งใดได้เลย เพราะความปิดไปของใจ ใจมันโดนปิดหมด มันมืดบอด มันไม่เห็น

ความมืดบอดของกิเลส เห็นไหม มันไม่ให้เห็นแสงสว่าง ถ้าเห็นแสงสว่างมันจะเห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่เด็กๆ จะไม่รู้อะไรเป็นประโยชน์ไม่เป็นประโยชน์ เด็กๆ มีแต่จะเล่นไป ความเล่นของเด็กนั้นเป็นเพราะความเห็นของเขา เพราะเขาไม่รู้ของเขา เขาก็เล่นของเขาไป แต่คนเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาจะรู้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งใดไม่เป็นประโยชน์

สิ่งที่เป็นประโยชน์สิ่งนั้นจะเป็นที่ว่าเป็นประโยชน์กับเรา เราต้องแสวงหาสิ่งนั้น การแสวงหาสิ่งนั้น เห็นไหม มันละเอียดอ่อนขึ้นไป มันเป็นการงานที่เราไม่เห็น ผู้ที่บริหารๆ ขึ้นไปนี่ เห็นว่าผู้ที่ทำงานมีความผิดพลาดขึ้นมา ผู้บริหารจะรู้ทันทีเลย เพราะอะไร เพราะเคยผ่านงานมา แต่ผู้ที่ทำงานอยู่นั้นต้องทำงานแล้วพยายามค้นคว้า ๓ เดือนยังไม่รู้ว่าตัวเองผิดตรงไหนนะ ไม่รู้ว่าตัวเองผิดตรงไหน

เห็นไหม ความมืดบอดของใจ มันมืดบอดอย่างนั้น มันปิดบังหัวใจไว้ไม่ให้เห็นความละเอียดอ่อนของงานที่เจริญงอกงามขึ้นไปเลย มันปิดบังไว้ ใจมืดบอดมืดบอดอย่างนั้น มืดบอดเพราะกิเลสมันปิดบัง ทั้งๆ ที่มีศาสนาอยู่ เราพยายามต้องหาหลักของใจ เห็นไหม หาที่พึ่งของใจ ถ้าเราหาหลักของใจ เราถึงต้องแสวงหา เราถึงต้องทุกข์ยากกันเพื่ออะไร เพื่อแสวงหาบุญกุศลขึ้นมา เพื่อเป็นบุญกุศลของเรา เพื่อเป็นที่พึ่งอาศัยของใจ ใจมีที่พึ่งอาศัย ใจจะมีหลักของใจ แล้วมันจะอบอุ่นไปเรื่อยๆ ใจไม่อบอุ่นนั้นเพราะกิเลสมันเสี้ยมแทงไง กิเลสมันแทงใจของตัวเอง กิเลสมันทำให้ใจของเราคิดไปตามความเห็นของมัน เห็นไหม มันคาดมันหมายไป

ความเห็นของกิเลสคือความคาดความหมาย ตัณหาความทะยานอยาก อยากสิ่งใดๆ แล้วไม่สมประโยชน์กับความเห็นของมันเลย ความอยากของมันเป็น มันอยากคิดออกไป อยากแสวงหาออกไป แต่มันไม่สามารถรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไรขึ้นมา เห็นไหม แล้วความมืดบอดของเรา เราก็ตามความอยากไป ความอยากที่มันเผ่นออกไปจากความคิดของตัวนั้น มันอยากออกไป อยากออกไปเท่านั้น

ตัณหาความทะยานอยากมันต้องจับตรงนี้ให้ได้ไง จับตรงที่ว่ามันต้องการสิ่งใด แล้วหาสิ่งนั้นว่ามันเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ ถ้ามันเป็นประโยชน์ขึ้นมาไม่เป็นประโยชน์ขึ้นมา มันจะเข้าใจตรงนี้ พอมันเข้าใจตรงนี้ความสว่างของมันก็จะเกิดขึ้นของมัน ความสว่างของใจเกิดขึ้นมา ใจมันเกิดขึ้นมามันจะเห็นความละเอียดอ่อน ความละเอียดอ่อนของใจขึ้นไป เห็นไหม

ทำงานสิ่งใดๆ ในโลกนี้ ทำงานโลกเขาเป็นงานทุกข์งานยาก ทำงานในโลกเลยเป็นความลำบากลำบน แต่ทำความสงบของใจมันลำบากกว่านั้นอีก ทำความสงบของใจ เพื่อใจจะให้อาหารของมันเป็นอาหารที่ว่าละเอียดอ่อนมาก ต้องทำความสงบของใจมันเข้ามา แต่เพราะเราไม่ได้ทำความสงบของใจเข้ามา เราปล่อยมัน พอปล่อยมันขึ้นมานี่มันก็คาดหมายไป ความคาดหมายนี่มันฟุ้งซ่านหนึ่ง มันเอาความทุกข์ยากมาให้ใจหนึ่ง แล้วมันยังเวียนออกไป นี่ตัณหาความทะยานอยาก มันอยากไม่มีวันที่สิ้นสุด แล้วเราจะตามมันไปได้ไหม ถ้าเราจะทำตามมันไป มันก็ต้องทุกข์ยากไป ทุกข์ยากออกไป เห็นไหม

จากงานที่ละเอียดเข้ามาแล้ว เราทำงานที่ละเอียดเข้ามา มันควรจะเป็นงานที่ละเอียดเข้าไป ควรจะเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา ทำไมเราไม่เห็นคุณประโยชน์อันนี้ ถ้าเราเห็นคุณประโยชน์อันนี้มันก็พยายามต้องฝืนกิเลส สิ่งที่มันเป็นไปมันขับออกไปนี่ เพราะกิเลสมันขับไสออกไป ความขับไสออกไปนั้นเป็นเรื่องของกิเลส เห็นไหม กิเลสมันไม่ให้เราทำคุณงามความดีไง กิเลสมันให้เราทำตามความเห็นของมัน ทำตามความเชื่อของมัน ถ้าความเชื่อของมัน เห็นไหม สิ่งนี้แต่เดิมมานี่มันมืดบอดเพราะว่ามันไม่มีศาสนา

แต่พอมีศาสนาขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกอันนี้คือกิเลสไง แล้วถ้าเพราะกิเลสของเรานี่ มันเพราะกิเลสของเราใช่ไหม มันถึงทำให้เราทุกข์ยาก เพราะกิเลสของเราใช่ไหม ถึงทำให้เราเดือดร้อนไป เพราะกิเลสของเราเท่านั้นใช่ไหม เราถึงต้องชำระกิเลสของเราใช่ไหม ถ้าเราชำระกิเลสของเราขึ้นมานี่ เราจะทำยังไงให้เรามีดวงตาสว่างขึ้นมา ถ้าดวงตาสว่างขึ้นมามันจะเห็นประโยชน์หลักของศาสนา ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะเกิดขึ้นมาไง

เราจะทำศีล สมาธิ ปัญญา เกิดขึ้นมานี่ เราต้องเตรียมพื้นฐานของใจ เราต้องเตรียมความเหมาะสม ศรัทธาความเชื่อก่อน ถ้ามีศรัทธาความเชื่อ ความเชื่อ เห็นไหม ความเชื่อเพื่อดึงเข้ามา ดึงความเห็นของตัวเองเข้ามาให้เข้าหาจุดของตัวเอง ตนเองเป็นที่แก้ไขตนเองเท่านั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทางเท่านั้น ครูบาอาจารย์เป็นผู้บอกแนะชี้ทางเท่านั้น ถ้าเราสามารถจับทางได้ก็จะเป็นประโยชน์กับเราได้

ถ้าเราไม่สามารถจับทางได้ เห็นไหม เราไม่สามารถจับทางได้หนึ่ง กิเลสมันยุแหย่อีกหนึ่ง กิเลสความเห็นของเรานี่แหละมันไม่เป็นความจริง ความเห็นของเราไม่เป็นความจริง มันเป็นความคาดหมาย มันเป็นความตัณหา มันเป็นความทะยานอยาก มันเป็นสมุทัย สมุทัยเห็นไหม มันจับต้องไม่ได้เลย มันเกิดดับเหมือนกับพยับแดดที่มันหลอกเรา แต่ทำไมเราเชื่อสิ่งนี้ เราเชื่อสิ่งนี้เพราะเราไม่มีอะไรเทียบเคียงกับมัน เราไม่มีคุณธรรมที่สูงกว่านั้นเทียบเคียงกับมัน ถ้ามีคุณธรรมที่สูงกว่านั้น สิ่งนี้เป็นสิ่งที่หลอก ถ้าสิ่งที่หลอกเอ็งจะมาหลอกข้าได้ยังไงในเมื่อข้าเห็นตัวเอ็งแล้ว เห็นไหม

ดูอย่างพญามารในพระไตรปิฎก เวลาพญามารมาดลใจพระพุทธเจ้า มาคาดหมาย เป็นตัณหา เป็นความอยากขึ้นไป พระพุทธเจ้าบอกว่า “พญามารเธอปกครองโลกได้หมด แต่เรารู้ทันเจ้า เจ้าไม่ต้องมายุแหย่เรา” เห็นไหม นี่มารมันอายม้วนไปเลย มันอายเพราะคนรู้ทันมัน แต่นี่เราไม่รู้ทันมัน มันครอบคลุมเราอยู่ เราถึงตกอยู่ใต้อำนาจของมัน ถ้าอยู่ใต้อำนาจของมันอันนี้มันเป็นความทุกข์ยาก ทุกข์ยากเพราะเราต้องการกำจัดกิเลส มันไม่ใช่ทุกข์ยากเพราะว่าปฏิบัติธรรมหรือเราทำบุญกุศลแล้วมันทุกข์ยากหรอก บุญกุศลมันจะให้ความทุกข์กับใคร บุญกุศลไม่ให้ความทุกข์กับใคร ความดีไม่ให้ความทุกข์กับใคร ความร่มเย็นเป็นสุขจะให้ความทุกข์กับใคร

ความร่มเย็นเป็นสุข เห็นไหม แต่ความร่มเย็นเป็นสุขมันก็มีอย่างหยาบๆ ความร่มเย็นเป็นสุขเพราะคนเคยทุกข์เคยยากมาก่อน ต้องหาที่พึ่งพาอาศัย พอได้พึ่งพาอาศัย เขาพอใจสิ่งนั้นเขาว่ามีความสุข แต่ความสุขนั้นมันก็ชั่วคราว เขาต้องหาสิ่งที่มากกว่านั้นขึ้นมาเรื่อยๆ หาความที่ว่ามันพอใจ ใจมันตัณหาขนาดไหน มันต้องหาสิ่งนั้นปรนเปรอมันตลอดไป ปรนเปรอกิเลสมันไม่มีวันพอ

ถ้าเราจะชำระกิเลสได้ เราต้องชักฟืนออกมา ชักตัณหาความทะยานอยาก พยายามดึงตัณหาความทะยานอยากของเราออกไป ถ้าดึงตัณหาความทะยานออกไปนั่นน่ะเราชักฟืนออกจากไฟ ชักฟืนออกจากไฟ เห็นไหม ไม่มีตัณหา ไม่มีความทะยานอยากออกไป กิเลสมันจะไปไหม้สิ่งใด ถ้าไม่มีฟืนไม่มีไฟไหม้มันก็ไหม้ไม่ได้ แต่นี่เพราะเราคิด ครุ่นคิด เราเติมฟืนเติมไฟ เข้าไปในสิ่งนั้น เราเติมฟืนเติมไฟเข้าไปในความคิดของเราตลอด เราคิดแล้วย้ำคิดย้ำทำ มันก็เอาความเร่าร้อนมาให้เรา

ความเร่าร้อนเพราะเราเติมฟืนเติมไฟของเราเอง โดยเราไม่เข้าใจ เราไม่ได้สร้างเหตุ เหตุในความเพียร ความเพียรของเราไม่มี ความเพียรเพื่อจะตัดรอนมันไง ตัดรอนไอ้ตัณหาความทะยานอยาก ความคิดของเราให้มันอ่อนตัวลง ถ้ามันไม่อ่อนตัวลงมันจะย้ำคิดย้ำทำ แล้วมันก็เวียนตายเวียนเกิดไป มันจะออกไปหาสิ่งที่หยาบออกไปเรื่อยๆ มันไม่เข้ามาสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์กับมัน

สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ของใจ ความละเอียดอ่อนของใจมันละเอียดอ่อนขนาดไหน แล้วเราจะจับต้องมันอย่างไร นั่นน่ะพยายามกำหนด มีเวลาขึ้นมานี่เรากำหนดพุทโธสักคำหนึ่งก็ยังดี พุทโธๆ นี่ ให้ใจมันมีที่พึ่งที่อาศัย ให้มันมีอาหารไง คนเรามีคำข้าวเป็นอาหาร หัวใจไม่มีอะไรเป็นอาหารเลย มีแต่ไฟเผามันตลอดเวลา มันไม่เคยมีสิ่งเปรียบเทียบขึ้นมา ถ้ามันกำหนดพุทโธๆ ขึ้นมานี่ มันกำหนดพุทโธขึ้นมา มันก็มีสิ่งที่เป็นอาหารของมันขึ้นมา พอมีอาหารขึ้นมานี่มันจะเริ่มสงบตัวลง

ถ้ามันเริ่มสงบตัวลง เพราะมันอิ่มในธรรมไง ถ้ามันไม่อิ่มในธรรมเพราะความเพียรเราไม่มี เราทำผิดพลาดตรงนี้ ผิดพลาดตรงที่ว่าสิ่งที่เป็นอาหารของใจเรา เราไม่แสวงหา เราไปปล่อยให้กิเลสมันฟุ้งซ่านไปเอง ถ้ากิเลสมันฟุ้งซ่านไปเองนี่ เห็นไหม นี่มันฟุ้งซ่านไป มันไม่เข้าใจตัวมันเอง มันมืดบอดแล้วมันก็คว้าเอาสิ่งที่เป็นพิษให้มันกิน สิ่งที่เป็นพิษคว้าเข้ามาในปากของมัน แล้วมันก็เคี้ยวกินสิ่งนั้น มันจะเป็นผลออกมาได้ยังไง มันก็ต้องเป็นผลความเร่าร้อนของใจ มันเป็นผลความเร่าร้อนของใจ เพราะมันไม่รู้จักว่าเป็นอาหารเป็นอะไร

แต่ถ้าพุทโธนี่ เห็นไหม ทำยาก ทำยากเพราะอะไร เพราะมันจืดสนิท มันไม่มีรสชาติ มันไม่ต้องการสิ่งใดเลย มันปฏิเสธ มันไม่ต้องการสิ่งใด แต่ถ้าเราฝืนมัน เราพยายามกำหนดแนบไปกับใจตลอดเวลา แนบไปกับใจให้ใจมันมีอาหารเครื่องเทียบเคียงขึ้นมานี่ ถ้ามีเครื่องเทียบเคียงขึ้นมา มันจะรู้จักว่าสิ่งนั้นเป็นโทษ สิ่งนี้เป็นคุณไง

นี้มันไม่มีสิ่งที่เป็นคุณเข้าไปเทียบเคียงกับสิ่งที่เป็นโทษ ใจมันมีแต่สิ่งที่เป็นโทษเผาลนใจ มันก็เป็นความเร่าร้อน มันก็เป็นโทษตลอดออกไป ความเป็นโทษของมัน เห็นไหม แล้วพระพุทธเจ้าถึงสอนว่า ต้องมีความมักน้อยสันโดษ ถ้าความคิดความทะยานอย่างนี้ไม่สนใจมัน ไม่สนใจความคิดความทะยานอยากในหัวใจอันนั้น พยายามสละมันออกไป ถ้ามันทำไม่ได้มันก็จะใช้ขันติ เห็นไหม

ใช้ขันติ ใช้ธรรมวินัยไง ธรรมวินัย เห็นไหม ธุดงควัตรเพื่อขัดเกลา เพื่อให้มันมักน้อยสันโดษจากข้างนอกเข้ามา ได้อาหารมา สิ่งใดที่มันเป็นความพอใจของเรา ไม่เอา เอาสิ่งที่มันขัดใจนี่ ให้มันกินสิ่งนั้น ขัดใจมันคือขัดกิเลส ถ้าเราได้ขัดใจเราเอง เราไม่เคยขัดใจเราเอง เราตามใจเรา เห็นไหม ตามใจเราก็ตามใจกิเลส นี่เติมฟืนเติมไฟตลอดไป นี่มันมืดบอดๆ อย่างนี้ มืดบอดเพราะมันไม่เข้าใจสิ่งใดๆ ทั้งๆ ที่มีศาสนาอยู่

มันน่าสลดใจที่ว่า ถ้าไม่มีศาสนา คนมืดบอดเพราะสิ่งที่ไม่มีเขาก็แสวงหา แสวงหาสิ่งที่ไม่มี เขาพยายามทำอยู่ อันนี้มันมีอยู่ แต่เรามืดบอดเอง มืดบอดเพราะกิเลสมันปิดบัง เห็นไหม มันจะมืดบอดเพราะมันไม่มี มันมีอยู่ หลักธรรมมีอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ววางธรรมไว้ ธรรมนี้มีอยู่โดยตลอดเวลา แต่เราไม่สามารเข้าถึงได้ เราไม่สามารถสัมผัสธรรมอันนี้ได้ ไม่สามารถสัมผัสธรรมได้แล้วกิเลสมันก็ผลักไสออกไป เราก็ไหลลงทะเลไป เห็นไหม ถ้ามันไหลลงทะเลไป ไหลไปตามสิ่งที่ว่าเป็นสวะไป เป็นสวะไหลตามทะเลไป มันจะเป็นเหยื่อของเต่า ของสัตว์ ของปลา

แต่ถ้าเราประคองใจของเรานะ ประคองใจดีๆ นะ มันต้องเข้าถึงทะเลหลวงเหมือนกัน แต่เราประคองใจของเรา มันทวนกระแสขึ้นไปได้ มันขึ้นบกได้ด้วย มันขึ้นบก มันทวนกระแสของน้ำขึ้นไป ทวนกระแสขึ้นไปเพราะเรามีสติ มีสติสัมปชัญญะ แล้วทำอะไร เราจะมาทำความสว่างของใจขึ้นมา ไม่ให้มันมืดบอด

สิ่งที่มีอยู่เราควรสัมผัสได้ เราเป็นคนมีอำนาจวาสนาเราถึงสนใจเรื่องธรรมะ ถ้าเราสนใจเรื่องธรรมะแล้วเราจะอ่อนด้วยไปได้อย่างไร เราจะอ่อนเปียกไปให้กิเลสมันสับยำเราอยู่ตลอดเวลา มันสับมันยำเรานะ ให้เราไหลตามมันไป แล้วเราก็ต้องโดนสับยำ มันเจ็บนะ มันทุกข์ยาก ความทุกข์นี้มันเป็นอริยสัจ ความทุกข์มันมีความจริง จะทำงานสิ่งใดมันก็เป็นความทุกข์ทั้งนั้น แต่ความทุกข์อันนั้นมันเป็นความทุกข์ที่เวียนตายเวียนเกิด ความทุกข์ที่ว่าต้องเวียนไปในวัฏฏะโลก กับความทุกข์อันนี้มันเป็นความทุกข์ แล้วมันจะประสบกับความสุข ถ้าประสบกับความสุขได้เพราะเราทำความเพียรแล้วมันถึงจุดของมัน มันจะมีความสุข แล้วมันจะปล่อยวางสิ่งนั้น แล้วมันจะมาเห็นคุณค่าเลย เมื่อก่อนเราคิดอย่างนั้นได้อย่างไร เมื่อก่อนมันคิดอย่างนี้ได้อย่างไร ถ้าคนผ่านไปแล้วมันจะสลดสังเวชตัวเองนะ

สิ่งที่ว่ามันเป็นโทษนี่มันคิดได้ยังไง แต่ถ้ามันไม่มีธรรมมาเทียบเคียงนี่ มันคิดของมันไปแล้วมันก็จะแสวงหาของมันไป มันมืดบอดเพราะกิเลสมันปิดบัง กิเลสมันปิดบังเท่านั้น กิเลสในหัวใจของเรา เห็นไหม

นี่ศาสนามีอยู่ หลักธรรมมีอยู่ เราควรจะให้เป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเราทำประโยชน์ขึ้นมามันจะเป็นประโยชน์กับเราเองด้วยหนึ่ง แล้วมันจะมีความสุขเข้ามาในหัวใจ เป็นความสุขแน่นอน ความสุขเท่ากับความสงบไม่มี แล้วจิตสงบที่ไหน ถึงว่าความสงบของใจ สงบถึงที่สุด สงบถึงสิ้นกิเลสไป เห็นไหม จิตมันสงบอยู่ จิตมันมีอยู่ มันมีความสุขตลอดไป เป็นวิมุตติสุข

แต่สมมุติสุข เห็นไหม สมมุติโลกเขาเป็นสมมุติสุขคือความพอใจ มันก็เป็นสมมุติไป แต่ถ้ามันทำไป มันจะมีสิ่งนี้ขึ้นมาในหัวใจ ทำไมไม่แสวงหาสิ่งนี้ เราเป็นคนที่มีคุณค่า เราเป็นคนๆ หนึ่ง เห็นไหม อะไรที่เป็นประโยชน์ เราจะเอาประโยชน์สิ่งหยาบๆ ประโยชน์ที่ละเอียดทำไมเราไม่เอา เราต้องเอาประโยชน์ที่ละเอียดกว่านั้น เป็นประโยชน์ที่เป็นคุณงามความดีของเรา เราเป็นคนมีคุณค่า เราสร้างคุณค่าของเราเองขึ้นมาได้ด้วยสัจธรรม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ เห็นไหม เทวดา อินทร์ พรหม ต้องมาฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน ถ้ามีหลักธรรมขึ้นมานี่ มันเป็นที่พึ่งขนาดว่าสอนเทวดา สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เห็นไหม สอนเทวดา สอนหมู่สัตว์ สอนทั้งหมด ใจมันมีความสุขมันมีความสุขขนาดนั้น ขนาดว่าเขาอยู่ในโลกของทิพย์ เขายังไม่มีความสุขขนาดว่าความสุขอย่างนี้ได้ แล้วเราทำไมไม่แสวงหาสิ่งนี้ เราจะแสวงหาสิ่งใด ถ้าเราแสวงหาตามกิเลส กิเลสมันก็มืดบอดแล้วมันผลักไสให้เราไหลไปตามกิเลส ถ้าเราย้อนกลับมา เราจะได้ประโยชน์ของเราขึ้นมา ได้ประโยชน์ของเรานะ ประโยชน์ที่เราจะเข้าหาความจริง

ความจริงในหัวใจ หัวใจมีอยู่ ถ้าสัจจะความจริงเข้าถึงใจ ใจนี้จะประเสริฐ ถ้าหัวใจมันมีอยู่ กิเลสมันปกคลุมอยู่ มันผลักไสไป ใจก็มีอยู่ แต่ก็เสียโอกาสของเราไปอีกชาติหนึ่งๆ ชาติหนึ่งมันเป็นเวลาที่ว่ามีความทุกข์ขนาดไหน ตั้งแต่เด็กขึ้นมานี่ เราต้องประคองตัวขึ้นมาขนาดไหน แล้วมันจะรักษาตัวยังไงให้พ้นไปได้ เอวัง